หากพูดถึงคำว่า “เลือดบวก” หลายคนอาจจะคิดถึงโรคเอดส์
ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง แต่แท้ที่จริงแล้วเลือดบวกเป็นอาการเริ่มต้นของ HIV ที่จะสามารถกลายไปเป็นโรคเอดส์ได้ต่อไป เมื่อพูดมาถึงจุดนี้หลายคนคงอาจจะสงสัยว่าโรคเอดส์กับ HIV นั้นแตกต่างกันอย่างไร และสาเหตุมันมาจากอะไร วันนี้เราจึงมาไขข้อข้องใจว่าทั้งสองโรคนี้มีจุดเหมือนและจุดต่างกันอย่างไรบ้าง
ความแตกต่างของโรคเอดส์ กับ HIV
ก่อนอื่นเราต้องขออธิบายว่า HIV คือเชื้อไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด และจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาอีกเลย ผู้ป่วยโรคนี้จึงไม่รู้ตัวว่าได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไป เมื่อผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เป็นโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ในที่สุด ดังนั้นโรคเอดส์ และ HIV ไม่ใช่โรคเดียวกันเพียงแต่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางอาการเท่านั้น
กว่าจะกลายเป็นโรคเอดส์
เชื้อ HIV นั้นสามารถส่งผ่านได้มากที่สุด คือการมีเพศสัมพันธ์ผ่านสารหลั่งต่าง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อผ่านเข็มฉีดยา และจากมารดาสู่ลูกในครรภ์ได้ด้วย โดยการติดเชื้อจะมีด้วยกัน
3 ระยะ
-
ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด
-
ระยะอาการ ระยะนี้เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่มักไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามในระยะนี้ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วย
-
ระยะเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่เคยได้รับการระงับการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายเลย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียภูมิคุ้มกันโรคและจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
อาการของโรคเอดส์ กับ HIV
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าอาการของโรคเอดส์กับ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันเพราะผู้ที่ติดเชื้อ HIV จะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด กล่าวคือ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว แต่เมื่อเชื้อร้ายนี้ได้รุกคืบเข้าไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจนไม่สามารถเยียวยาได้จะส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคติดเชื้อในปอด โรคติดเชื้อในสมอง เป็นต้น
ผู้ที่มีเชื้อ HIV ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
หลายคนอาจยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV ได้ ในขณะที่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังกลัวที่จะอยู่หรือเข้าใกล้ผู้ที่มีเชื้อชนิดนี้เช่นกัน โดยในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีเชื้อดังกล่าวสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเฉกเช่นเดียวกับบุคคลทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ต้องคอยดูแลตนเองตามคำสั่งของแพทย์ด้วยการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสด้วยการทานยา Antiretroviral (ARV) เป็นประจำและคอยตรวจเช็กอาการด้วยการเจาะเลือด ไม่ใช่แค่เพียงผู้ที่มีเชื้อเท่านั้นที่ควรเจาะเลือด สำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงหรืออยากหาเชื้อไวรัสแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถเข้ารับการาตรวจเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีความกังวลว่าจะติดเชื้อ HIV ก็สามารถรับยาต้านไวรัสภายใน 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อได้ด้วย ทางโรงพยาบาลเพชรเวชเองก็มีบริการยาต้านไวรัสสำหรับผู้ที่ต้องการยาด้วยเช่นกัน